ในใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยความยุ่งวุ่นวายของสิงคโปร์มีหนึ่งในศูนย์หาบเร่ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดของเมืองอยู่ มันเป็นที่ที่มี 13 แผงร้านหาบเร่ใน Golden Mile Food Centre ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติที่มีชื่อว่า City Hawker Food Hunt ซึ่งเป็นการประกวดอาหารหาบเร่ที่ดำเนินมายาวนานที่สุดจากทั่วเกาะ สถานที่รับประทานอาหารกลางแจ้งหลายชั้นมีการผสมผสานระหว่างอาหารมาเลเซีย อินเดีย และจีนที่มีชีวิตชีวาและมีรสชาติแบบสิงคโปร์ รวมถึงแผงขายของ 5 ร้านที่มีตั้งแต่หมี่กะหรี่เผ็ด ไปจนถึงเฉาก๊วยเย็น ๆ

1. Wedang, B1-19

Tahu goreng หรือเต้าหู้ทอดเป็นสิ่งที่ Wedang ทำได้ดีที่สุด แผ่นเต้าหู้ที่หนา ทอดน้ำมันท่วมจากด้านนอกแต่นุ่มใน เป็นอะไรที่พบได้ปกติในอาหารมาเลเซีย ตั้งแต่ที่มีการเปิดขายแผงอาหารในปี 2005 คุณ Azman Kamis ผู้เป็นเจ้าของร้านและเป็นเชฟได้ทำเมนูอาหารขึ้นมาโดยใช้เต้าสู้สดทุกวัน จากนั้นนำมาเคลือบด้วยน้ำเกรวี่ถั่วลิสงรสหวาน ปริมาณของมันอาจจะมากเกินไปสำหรับคน ๆ เดียว ดังนั้นการแบ่งและจับคู่กับข้าวขาวจะดีที่สุด ถ้าคุณชอบเผ็ดกว่านี้ ให้ขอพริกขี้หนูเพิ่มเพื่อใส่ลงในน้ำเกรวี่ อาหารจานนี้เป็นหนึ่งในสินค้าขายดีของพวกเขาจากทั้งหมดห้ารายการที่นำเสนอ ซึ่งรวมถึง สะเต๊ะยอดนิยมตลอดกาล หรือไก่ย่าง และเนื้อเสียบไม้จิ้มแจ่ว ในปี 2016 แผงขายของที่เรียบง่ายนี้ได้รับความสนใจจากผู้ตรวจสอบมิชลิน ผู้ซึ่งมอบรางวัล Bib Gourmand ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับร้านอาหารที่นำเสนอ “การปรุงอาหารที่มีคุณภาพดีและคุ้มค่า”

ราคาเริ่มตั้งแต่ 3 SGD

เวลาเปิดทำการ: 12.00 - 15.30 น. และ 17.00 - 19.00 น. ทุกวัน ปิดทุกวันจันทร์

2. ข้าวมันไก่และบะหมี่แกงไก่ Da Po, B1-53

คุณอาจจะคุ้นเคยกับแกงแล้ว แต่คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับหมี่แกงมาก่อนหรือเปล่า? เป็นเวลากว่าสามทศวรรษแล้วที่ร้านแผงนี้ขายบะหมี่เหลืองที่มีแกงกะหรี่ที่เป็นของโปรดของคนในเมือง ลองคิดว่ามันเป็นแกงกะหรี่ที่เบาบางกว่าจนเกือบจะเป็นซุป และจะไม่นำมากินกับข้าวหรือขนมปัง แต่จะนำมากินกับก๋วยเตี๋ยวแทน น้ำแกงกะหรี่มีรสเผ็ดเล็กน้อยและหวาน ใช้ช้อนตักบะหมี่เหลืองเหนียว, มันฝรั่งชิ้น, ไก่เนื้อนุ่ม และเต้าฮวยหรือเต้าหู้หนังนิ่ม ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่พบในลักซาซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูบะหมี่ที่เป็นมรดกตกทอดของสิงคโปร์ ในร้านเดียวกันนี้ยังมีข้าวมันไก่ที่ไม่ติดมัน ชุ่มฉ่ำ และหอมมัน หรือเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งอาหารหาบเร่ของสิงคโปร์เลยทีเดียว เราขอแนะนำทั้งสองเมนูนี้ให้กับคุณ

หมี่แกงหนึ่งชามเริ่มตั้งแต่ 5 SGD

เวลาเปิดทำการ: 10.30 – 17.30 น. ทุกวัน ปิดทุกวันจันทร์

3.Ah Xiao เป็ดตุ๋นสไตล์แต้จิ๋ว, B1-43

อาหารที่นี่มีความเบาบางและไม่ซับซ้อน ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของอาหารแต้จิ๋วเลยทีเดียว จานแบบครบสูตรประกอบด้วยไข่ตุ๋นสมุนไพร, ชิ้นเต้าหู้นุ่มและ tau pok หรือผิวเต้าหู้ และเป็ดหั่นบาง เพิ่มความน่าสนใจมากกว่าเนื้อลีนธรรมดา ๆ ด้วยการเพิ่มหมูสามชั้นเข้าไปในออเดอร์ด้วย ราดให้ทั่วเป็นน้ำเกรวี่สมุนไพรเข้มข้นที่ไม่เค็มหรือหวานจนเกินไป แม้ว่าอาหารแต้จิ๋วส่วนใหญ่จะอร่อย แต่ก็มีเครื่องเทศที่มาพร้อมกับเครื่องจิ้มน้ำพริกที่ทำเองที่บ้านซึ่งมีรสเปรี้ยวผสมพริกขี้หนู น้ำส้มสายชู และกระเทียมที่คุณสามารถมีได้มากพอ ๆ กัน สั่งกับข้าวขาวหนึ่งจานหรือซุป kway chap อุ่น ๆ นั่นคือ บะหมี่ขาวเส้นแบนในน้ำซุปซีอิ๊วสมุนไพรเบา ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและเหมือนสไตล์แต้จิ๋วทั่วไปที่เสิร์ฟในขนาดเล็ก แต่คุณอาจเลือกรับประทานในปริมาณที่ขนาดใหญ่กว่า คนหาบเร่รุ่นที่สอง Rui Hai เข้ามาดูแลแผงขายเป็ดของพ่อแม่เมื่อ 10 ปีก่อน และจากหลายปัจจัยบ่งบอกว่าธุรกิจยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี วิธีที่ดีที่สุด คือ เขาปิดทำการเร็วแค่ไหนในแต่ละวันมีการเตรียมเป็ดประมาณ 20 ตัวทุกวันและในช่วงบ่ายจะขายหมด

ข้าวหน้าเป็ดตุ๋นปกติเริ่มต้นที่ 3 SGD

เวลาทำการ: 9.30  – 7.30 น. เปิดทุกวัน ปิดทุกวันพฤหัสบดี

4. Golden Mile หย่งเต่าฝู่พิเศษ, B1-44

อาหารหย่งเต่าฝู่ส่วนใหญ่จากแผงเร่นี้มีการยัดไส้ด้วยปลาหางเหลือง การเลือกใช้ปลาที่มีน้ำมันและเนยตามธรรมชาติที่คล้ายกับปลาทูจะช่วยเติมเต็มทั้งรสชาติแบบธรรมดาและรสชาติที่เข้มข้นในอาหารส่วนใหญ่ เช่น ปลากะพงน้ำเงี้ยว และเต้าหู้ซึ่งทอดจนกรอบหนึบ น้ำพริกปลาทำเองในบ้าน แล้วยัดลงในผักรากต่าง ๆ เช่นบรินจาลเลดี้นิ้ว และพริกชี้ฟ้า นอกเหนือจากปกติแล้วให้เลือกเต้าหู้สี่เหลี่ยมชิ้นหนา ๆ มันยอดเยี่ยมมากและเมื่อลวกในน้ำซุปร้อน ๆ จะมีรสชาติที่นุ่มและคลีน ต้องเลือกสั่งอย่างน้อยเจ็ดชิ้น โดยจะมี บีฮุนเป็นเมนูบะหมี่เดียวที่มี ทานคู่กับซุปเผ็ดหรือแห้ง ราดด้วยน้ำเกรวี่เต้าเจี้ยวหมักสีน้ำตาลแดงข้นที่ค่อนข้างหวาน

ต้องรีบไปหน่อยนะ เพราะบ่าย 2 ร้านก็ปิดแล้ว

50 เซ็นต์ SGD ต่อชิ้น สั่งขั้นต่ำเจ็ดชิ้นต่อออเดอร์

เวลาเปิดทำการ: 9.45 - 14.00 น. เปิดทุกวัน ปิดทุกวันอาทิตย์

5. Zhao An Granny Grass Jelly, 01-58

เพิ่งกินอาหารมื้อใหญ่มาเหรอ? ทีนี้ก็ลองดูที่ชั้นสองของศูนย์หาบเร่และนั่งกิน chin chow เย็น (หรือร้อน) สักชาม หรือที่รู้จักกันในชื่อวุ้นดำหวาน เนื้อสัมผัสของวุ้นมีความเรียบเนียนมาก แถมยังมีกลิ่นที่หอมดอกไม้อีกด้วย สูตรดั้งเดิมถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อนจากคุณยายในตอนที่เธอทำงานที่แผงขายของของริมถนนและมีการเรียกร้องให้ทำขนมซุปรสหวานแบบจีนดั้งเดิมด้วยมือ ตั้งแต่ปี 1996 หลานชายของเธอ ซึ่งตอนนี้ดำเนินกิจการแผงขายของ ยังคงรักษาตามสูตรเดิมไว้ แต่เพิ่มเฉาก๊วยเข้ามาเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่เหนียวหนึบที่น่าพอใจยิ่งขึ้น เลือกท็อปปิ้งได้ 4 อย่าง ได้แก่ ลำไย, วุ้นมะพร้าว, attap chee หรือเมล็ดปาล์มและมะพร้าวทะเล หรือสั่งเป็นเครื่องดื่มก็ได้เช่นกัน

เริ่มตั้งแต่ 1.50 SGD

เวลาเปิดทำการ: 11.30 – 19.30 น. เปิดทุกวัน, 11.30 – 18.30 น. สำหรับวันอังคารและวันเสาร์

ศูนย์หาบเร่หลายชั้นรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของเมือง เช่น Golden Mile Tower ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงภาพยนตร์เก่าแก่, The Projector บนชั้น 5 ในสมัยยุคที่รุ่งเรืองมันเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Golden Theatre ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์และมาเลเซีย ในตอนนี้ที่แห่งนี้มักจะเป็นโรงละครแห่งแรกในเมืองที่มีการฉายภาพยนตร์ต่างประเทศและมีผู้คนจำนวนมากแวะเวียนมาชม โดยที่จะเป็นวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่

ที่อยู่ติดกันก็จะมี Golden Mile Complex, ซึ่งเป็นอาคารหลายชั้นที่มีร้านอาหารไทยและเวียดนามเป็นหลัก คุณจะรู้ว่ามันเป็นเป็นของแท้ได้จากในตอนที่คุณเข้าไปแล้วได้กลิ่นกลิ่นเครื่องเทศแบบไทย ๆ, สมุนไพรเวียดนาม และกลิ่นอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับศูนย์ขายอาหารเร่ของสิงคโปร์

แผงเร่ที่นั่นขายเมนูอาหารไทยคลาสสิก เช่น กะเพราหมูสับ และต้มยำ จนไปถึงหมูกระทะด้วย หมูกระทะเป็นอาหารจานร้อนที่คุณจะต้องทาน้ำมันก่อนด้วยมันหมู จากนั้นค่อยวางชิ้นเนื้อและอาหารทะเลลงไปย่าง Golden Mile Complex เปิดจนถึงช่วงดึกและเป็นเหมือนประเทศเวียดนามและประเทศไทยขนาดย่อมเลย

Golden Mile Food Centre ได้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลอาหารท้องถิ่นประจำปีของคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งมีชื่อว่า เทศกาลอาหารสิงคโปร์ และแผงเร่เหล่านี้ยังคงรอให้คุณไปลิ้มลองแหละโหวต สนับสนุนร้านแผงเร่ที่คุณชื่นชอบได้ที่ www.cityhawkerfoodhunt.com